เรื่องเล่า “เส้นทางการพัฒนาโรงเรียน”
กัมพล เจริญรักษ์
ผมได้รับคำสั่งให้ย้ายมาดำรงตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษาที่นี้
ในวันที่ 7 ธันวาคม 2553 ได้บริหารจัดการโรงเรียนและผ่านการประเมินต่างๆ
มากมาย เช่น สถานศึกษาพอเพียง สมศ.รอบ 3 โรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ
โรงเรียนคุณลักษณะของผู้เรียนยอดเยี่ยม หนึ่งโรงเรียนหนึ่งนวัตกรรม ครูดีเยี่ยม ครูแสนดีเป็นต้น นักเรียนทดสอบระดับชาติมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ดีขึ้นเป็นลำดับทุกปี
ในปีการศึกษา 2555 นักเรียนสอบ O-net มีค่าเฉลี่ยสูงกว่าระดับประเทศ
4 กลุ่มสาระฯ มีค่าเฉลี่ยสูงกว่าระดับเขตพื้นที่ 7 กลุ่มสาระฯ จากทั้งหมด 8 กลุ่มสาระฯ นักเรียนได้เหรียญทองการแข่งขันศิลปหัตถกรรมระดับภาค
ฯลฯ แต่ผมกลับไม่มีความรู้สึกว่าตนเองดีใจมากนักหรือภูมิใจกับสิ่งที่ดีขึ้น (โรงเรียนพัฒนาขึ้นสำหรับความคิดของคนอื่นหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง)
ผมมีความรู้สึกว่าดีใจแค่ชั่วครั้งชั่วคราวเมื่อได้รับทราบผลที่ผ่านประเมิน
ผ่านการรับรอง ได้รับเกียรติบัตร ได้โล่ห์
แต่ความรู้สึกเหล่านั้นกลับหายไปอย่างรวดเร็ว ผมมองว่าครูสอนแบบเดิม นักเรียนเรียนแบบเดิม ครูจะเป็นผู้บอกความรู้มากกว่าสอนกระบวนการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน ผู้เรียนไม่เกิดทักษะ ผู้เรียนไม่รู้ว่าเรียนไปแล้วจะนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร
ถ้าผู้บริหารไม่กระตุ้นครูก็เริ่มช้าลง
กระตุ้นมากหน่อยก็ดีขึ้นเป็นวงจร ไม่มีการพัฒนาที่ยั่งยืนและไม่มีการเรียนรู้ร่วมกัน ไม่มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในองค์กร ขาดเป้าหมายร่วมกันในการพัฒนาผู้เรียน ทำให้ผมตั้งคำถามกับตัวเองมากมาย
เช่น “มันเกิดอะไรขึ้นกับโรงเรียนของเรา” “แล้วเราต้องทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ
โดยการกระตุ้นครูทุกครั้งที่เฉื่อยลงรึไง”
“แล้วจะทำอย่างไรที่จะพัฒนาผู้เรียน พัฒนาโรงเรียนให้ยั่งยืนให้ถึงเป้าหมายของการศึกษาที่แท้จริง”
“ที่เราพยายามทำมาสองปีกว่าๆ เพียงแค่เปลือกนอกของคุณภาพการศึกษาใช่หรือไม่”
ซึ่งผมมองว่าที่ดำเนินการอยู่ยังไม่ตอบโจทย์ในการพัฒนาครูและพัฒนาผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้ที่แท้จริงไม่ได้พัฒนาองค์กรให้ยั่งยืน
ผู้เรียนไม่เกิดทักษะชีวิต ขาดทักษะการหาความรู้ ขาดทักษะ ICT ฯลฯ
ผมพยายามมองหานวัตกรรมใหม่ๆ ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมจากเอกสาร ตำรา
งานวิจัย ศึกษาดูงานจากโรงเรียนสถานที่ต่างๆ มากมาย แต่ก็ยังไม่มีทางออกหรือหาแนวทางที่จะปรับเปลี่ยนกระบวนการเรียนรู้ที่ชัดเจน
พอปลายปี 2555 ได้รับทราบข่าวจากท่าน
ผอ.สมศักดิ์ ประสาร เกี่ยวกับโครงการนี้ ผมได้รับข้อมูลแล้วผมไม่รอช้าสักนิด ได้โทรศัพท์ไปถึงท่าน ครูใหญ่วิเชียร ไชยบัง เพื่อขอเข้าร่วม
“โครงการเสริมสร้างพลังอำนาจการจัดการศึกษาที่สร้างสุขภาวะในโรงเรียน” ซึ่งหัวหน้าโครงการฯ คือ รศ.ดร.ประวิต
เอราวรรณ์ คณบดีคณะศึกษาศาสตร์
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม โรงเรียนบ้านทุ่งยาวคำโปรยจึงเริ่มต้นเข้าร่วมโครงการฯ
นี้ จากความคิดที่อยากเปลี่ยนกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบเดิมๆ เป็นรูปแบบใหม่ ซึ่งที่ดำเนินการอยู่เดิมยังไม่ตอบโจทย์ในการพัฒนาครูและพัฒนาผู้เรียนได้เท่าที่ควร
พอได้เข้าร่วมโครงการจริงๆ
เป็นโจทย์ใหญ่มากเลยว่าจะทำอย่างไร เพราะก่อนผมมาดำรงตำแหน่งโรงเรียนนี้
ผู้บริหารคนเดิมได้พาครูไปดูโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนามาแล้วทุกคน แต่กลับมาที่โรงเรียนก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมจึงได้ลองไปสอบถามครู
ส่วนใหญ่ก็ปิดกั้นตัวเอง ไม่เปิดใจรับสิ่งใหม่ บอกว่าเราทำไม่ได้หรอก ครูเกือบทุกคนกลัว... กลัวการ “เปลี่ยนแปลง” นั่นละคือโจทย์ที่ผมจะต้องคบคิด หาวิธีการว่าจะเริ่มต้นอย่างไร “ถ้าใจไม่เปิด
ความคิดไม่เปลี่ยน วิธีการย่อมไม่เปลี่ยน”
ผมและครูได้ร่วมกันเริ่มต้นดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนรูปแบบใหม่
ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2556
โดยนำนวัตกรรมของลำปลายมาศพัฒนา
มาปรับใช้ให้เข้ากับบริบทโรงเรียนของตนเอง
พอเริ่มต้นจริงๆ มีคำถามต่างๆ จากครู
ผู้ปกครองนักเรียนตามมามากมาย เช่น เด็กจะสอบเข้าเรียนต่อได้ไหม เด็กจะได้อะไรจากการเรียนแบบนี้
เรียนแบบเดิมไม่ดีหรือถึงได้เปลี่ยนแบบใหม่ เป็นต้น ครูและผู้ปกครองเริ่มกลัว
และไม่มั่นใจในสิ่งที่จะเริ่มต้นดำเนินการ
มันก็เป็นโจทย์ให้ผมต้องไปคิดเพื่อจะทำความเข้าใจต่ออีก ถ้าจะไปตอบคำถามทีละคนคงไม่มีวันตอบครบทุกคน
หรือครบทุกคำถามแน่นอน ผมจึงได้พูดคุยกับครู และร่วมกันวางแผนออกแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบใหม่นี้
โดยจำลองการจัดการเรียนรู้มาไว้เพียงหนึ่งวัน และเชิญผู้ปกครองนักเรียนมาเรียนรู้โดยครูเป็นคนพาทำกิจกรรมต่างๆ เริ่มตั้งแต่เข้าแถวเหมือนนักเรียน
ทำกิจกรรมหน้าเสาธง
เข้าห้องเรียนทำจิตศึกษา จัดกระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการ PBL (Problem
Based Learning) ดื่มนม Body Scan รับประทานอาหารเที่ยงเหมือนกับนักเรียนทุกอย่าง (วันนั้นหยุดนักเรียนแต่ให้ผู้ปกครองนักเรียนทุกคนมาเรียนแทน)
ซึ่งเป็นแนวทางหนึ่งที่จะทำความเข้าใจกับผู้ปกครองนักเรียน
สร้างความตระหนักในการเรียนรู้ และสร้างความมั่นใจให้กับครูมากขึ้น นอกจากนี้ผมยังได้พาคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานและคณะครูไปดูงานที่โรงเรียนบ้านนาขนวน ก็ทำให้เกิดความเชื่อมั่นขึ้นมาระดับหนึ่ง เรามีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันทุกสัปดาห์ในวันพฤหัสบดี
หรือที่เรียกว่า PCL (Professional Community Learning)
การสะท้อนกลับของครูในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กิจกรรม จิตศึกษา เห็นผลอย่างรวดเร็วได้เป็นไปในทิศทางที่ต้องการ เช่น นักเรียนกล้าคิด กล้าพูด
กล้าแสดงออก
และมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น
มีความรับผิดชอบและรู้หน้าที่ของตนเองเป็นส่วนมาก แต่ในช่วงบ่ายของการเรียนรู้แบบบูรณาการ PBL
ครูส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจ ยังไม่ชัดเจน
ครูบางคนไม่ยอมที่จะลองสอนเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกับนักเรียน พอสักเดือนกว่าๆ
ทำให้ผมเองรู้สึกเริ่มท้อแท้
เหนื่อยใจ
เพราะมีความคาดหวังไว้สูงเกินไป
ว่าครูทุกคนต้องทำได้
และต้องทำทุกคน
เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริงกับนักเรียน ผมเริ่มคิดหนักมากขึ้น หาวิธีการต่างๆ ด้วยเทคนิคต่างๆ มากมายเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับครูที่ยังไม่เปิดใจยอมรับสิ่งใหม่
และการเปลี่ยนแนววิธีการสอนของครู เช่น
นำวีดีโอ มาเปิดให้ดู ถ่ายเอกสารหนังสือที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้ครูมาให้อ่าน แล้วทำการ AAR (After
Action Review)
กับครูในช่วง PLC แต่ครูที่ยังไม่เปิดใจยอมรับก็เหมือนเดิม
ทำให้ผมเองเริ่มท้อ เหนื่อยใจมากขึ้น
เริ่มบ่นให้เพื่อนผู้บริหารเครือข่ายรับฟัง เล่าให้ศึกษานิเทศก์ที่ปรึกษาโครงการฟัง ก็ได้รับกำลังใจมาบ้าง
แต่ก็ยังไม่รู้สึกดีขึ้นมากนัก “ท้อ
เหนื่อย เริ่มหมดแรง
หมดกำลังใจที่จะเดินต่อ”
แต่ในใจยังคิดว่าต้องทำเพื่อเด็ก เพื่อพัฒนาครู พัฒนาผู้เรียนเป็นเป้าหมายหลัก ต้องไม่ท้อ
ต้องเชื่อมั่นและมีศรัทธาว่าเราต้องทำได้ เพื่อเป้าหมายเดียวคือ “นักเรียน”
ถ้าเราไม่มีความเชื่อแล้วครูที่ทำอยู่ละต้องไม่มั่นใจแน่นอน ผมเริ่มปรับวิธีคิดใหม่ เดินให้ช้าลง (เพราะส่วนใหญ่ครูตามไม่ทันความคิดของผม) แล้วหันกลับมามองด้านหลัง ค่อยๆ ดึงครูขึ้นมา
ค่อยๆ เรียนรู้ไปกับครู ครูก็เรียนรู้กับนักเรียน คุยกันในวง PLC โดยไม่เอาปัญหามาคุยก่อน เพื่อที่จะสานต่อเชื่อมโยงความคิดระหว่างเพื่อนร่วมงานให้มีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ
นักเรียน โดยไม่กังวลว่าต้องสำเร็จในเร็ววัน
แต่เชื่อและศรัทธาว่าต้องมีวันสำเร็จแน่นอนสักวันหนึ่ง ถ้าเราเริ่มต้น
กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงและมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้
ทำด้วยหัวใจ
เพื่อการเปลี่ยนแปลงจากจุดเล็กๆ แล้วขยายไปทั้งโรงเรียน โดยการสร้างแรงบันดาลใจให้ครู เริ่มจากหนึ่ง สอง สาม .....
วันที่ 10 ตุลาคม 2556 เป็นวันที่ปิด
Quarter ที่ 2 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่โรงเรียนทำ เพราะปิดQuarter ที่ 1 ทำเฉพาะอนุบาล ก่อนจัดกิจกรรมผมไม่มีเวลาอยู่ที่โรงเรียนเลยประมาณ
2 สัปดาห์ก่อนวันที่ 10 ต้องไปประชุม
อบรม ตลอดช่วงนั้น
ได้มอบหมายให้ครูคุยกันว่าจะจัดแบบไหน
ทำอย่างไรเองทั้งหมด โดยผมจะโยนโจทย์กว้างๆ ให้ และไปคิดต่อ ลงรายละเอียดเพิ่ม
โดยมอบหมายให้มีคนนำวงแต่ละครั้งได้พูดคุยกัน เดิมนั้นถ้าจัดกิจกรรมอะไรที่โรงเรียน ผมจะเป็นคนกำหนดตุ๊กตา
(รูปแบบ) คราวๆ และไปแลกเปลี่ยนกับครูช่วยกันเติมเต็ม รูปแบบ และออกแบบกิจกรรมร่วมกัน ช่วงเตรียมการ ผมจะกำกับ ดูแล และช่วยเหลือ
สนับสนุนอยู่จนเรียบร้อยทุกกิจกรรม
กิจกรรมส่วนใหญ่จึงออกมาดีถึงดีมาก
แต่ครูไม่ได้คิดสร้างสรรค์ส่วนใหญ่รับคำสั่งหรือมอบหมายให้ทำ ปีต่อไปจัดกิจกรรมแบบเดิมอีกก็มาช่วยกันคิดใหม่
เริ่มต้นใหม่
ผมอยากให้ครูคิดให้มากขึ้น
คิดเก่งขึ้น
ถ้าเกิดจากความคิดของเขาเองงานที่ทำจะมีคุณค่าและงอกงามทางความคิดมากกว่ามอบหมายจากผม
ผมจึงอยากพิสูจน์สิ่งที่คิดไว้
ผมได้โยนโจทย์นี้ให้ครูณัฐ ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายวิชาการได้รับโจทย์จากผมเพื่อไปคุยกับเพื่อนครูต่อ
ก่อนวันงานผมได้มีโอกาสแวะมาดู เห็นคุณครู นักเรียน
และบางชั้นมีผู้ปกครองมาช่วยด้วย
ร่วมกันออกแบบ ตกแต่ง
เตรียมการอย่างดี ด้วยความร่วมมือ ร่วมใจ
และร่วมแรงร่วมใจกัน พอถึงวันงาน
ผมมาถึงโรงเรียนแทบไม่น่าเชื่อ ว่าสิ่งที่ผมเห็นที่คุณครู นักเรียน
ผู้ปกครองเตรียมการไว้เพื่อจัดกิจกรรมปิดควอเตอร์นี้จะทำได้ดี โดยเฉพาะทุกคนช่วยกันอยากให้งานออกมาดี มีกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้ปกครองนักเรียน และแขกจากต่างโรงเรียนมาร่วมชมนิทรรศการ
การแสดง และร่วมชื่นชมยินดีในผลงานของเด็กๆ และครูที่ร่วมกันสร้างสรรค์ขึ้น เกิดเป็นความประทับใจที่ไม่รู้ลืม ช่วงกิจกรรมอาจไม่ราบรื่นมากนักแต่ทุกคนก็ช่วยกัน
ร่วมมือกัน ผมเห็นแล้วศักยภาพของครู
และศักยภาพของนักเรียน
ถ้าเปิดโอกาสให้ทุกคนมีพื้นที่ในการแสดง
ได้คิดริเริ่มเอง ลงมือปฏิบัติ ด้วยความเต็มใจ เต็มตามศักยภาพของตนเองและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทุกงานทุกกิจกรรมก็ออกมาดี ถึงจะไม่ดีมากเท่ากับที่ผมต้องวางแผน ควบคุม
กำกับ เหมือนทุกครั้ง
แต่ครั้งนี้ผมรู้สึกภาคภูมิใจในตัวครูและตัวนักเรียน ที่สามารถแสดงศักยภาพของตัวเองออกมาได้ ผ่านการจัดกิจกรรมเพียงวันเดียว ซึ่งผมมองเห็นภาพรวมของกิจกรรม
และรายละเอียดต่างๆ ที่ครู นักเรียน ผู้ปกครองร่วมมือ ตั้งแต่วันนั้นผมมีความเชื่อว่าครูของผมจะพัฒนาตนเองใช้กระบวนการเรียนรู้ต่างๆ
เพื่อพัฒนานักเรียนให้เป็นคนดี คนเก่ง มีสุข อยู่ในสังคมได้เป็นอย่างดี ตามศักยภาพของแต่ละบุคคล
เปิดภาคเรียนที่
2 ปีการศึกษา 2556
ครูมีความมั่นใจมากขึ้นในรูปแบบของการจัดกระบวนการเรียนรู้ ผมเชื่อในศักยภาพของครูผม
แต่ผมได้คิดใคร่ครวญแล้วว่าครูที่โรงเรียนผมมีความสามารถต่างกัน
ศักยภาพของแต่ละคนไม่เท่ากัน ในภาคเรียนนี้ผมจึงเริ่มต้นปรับกระบวนการเรียนรู้แบบบูรณนาการใหม่
ซึ่งผมได้แบ่งครูออกเป็น 3 กลุ่ม
โดยนำนวัตกรรมมาใช้อยู่สามอย่างเพื่อให้เหมาะสมกับระดับความสามารถของครูที่โรงเรียน คือ กลุ่มแรกที่มีความเข้าใจช้าใช้ PBL (Project
Based Learning) กลุ่มที่สองที่มีความเข้าใจระดับปานกลางใช้ PBL
(Problem Based Learning)
และกลุ่มที่สามที่มีความเข้าใจเร็วใช้ RBL (Research Based Learning) ทุกสัปดาห์ในวันพฤหัสบดี
จะตั้งวง PLC คุยกัน
โดยให้ครูเล่าเรื่องในสัปดาห์ที่ทำว่าทำอะไร เกิดอะไรขึ้น มีชิ้นงานอะไรบ้าง ประทับสิ่งไหน
จะให้เพื่อนช่วยอย่างไร และสัปดาห์ถัดไปจะทำอะไรบ้าง ซึ่งให้ครูแต่ละคนเล่าเรื่องให้เพื่อนฟัง
ทุกคนได้ฟังเรื่องดีๆ จากเพื่อนๆ เล่าเรื่องประทับใจเล็กๆ ในการจัดกิจกรรม
แต่ผมรู้สึกได้ว่าเพื่อนทุกคนรับฟังด้วยความชื่นชม ยินดี และอยากจะเล่าเรื่องของตนที่ได้เรียนรู้กับนักเรียนให้เพื่อนๆ
ฟังบ้าง เกิดแรงบันดาลใจขึ้น
เมื่อจบการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผมเองยังรู้สึกว่าอยากจะฟังครูเล่าในสัปดาห์ถัดไปอีก ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดความรู้สึกอย่างนี้
ผมจึงให้ครูเขียนเรื่องเล่าของตนเองเดือนละหนึ่งเรื่อง
ผมเองก็เขียนเหมือนกัน เพื่อให้คุณครูได้เกิดทักษะการสื่อสาร
ทักษะการเขียนมากขึ้น
ผมได้อ่านเรื่องเล่าของคุณครูแล้วรู้สึกชื่นใจ นั่งยิ้มกับกระดาษที่ถืออ่านอยู่ด้านหน้าตัวเอง
และบางแผ่นที่ครูเล่าเรื่องมายังมีคำถามเพิ่มขึ้นมาในใจอีกมากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่ผมได้รับรู้ผ่านเรื่องเล่าของคุณครู
คือ ครูมีความภาคภูมิใจ ในสิ่งที่ครูได้ลงมือทำและได้เรียนรู้ร่วมกันกับนักเรียน
แม้มันจะเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเล็กๆ ของความรู้สึกก็ตาม โดยพูดออกมาจากสิ่งที่ได้จัดกระบวนการเรียนรู้
โดยการร่วมกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันทุกสัปดาห์ในวันพฤหัสบดี (PLC :
Professional Learning Community) บางคนพูดได้ดีมาก
สามารถถ่ายทอดประสบการณ์และสิ่งที่เล่าได้เป็นฉากๆ มองเห็นภาพ
ผมจึงได้รวบรวมเล่มที่ครูทุกคนเขียนเพื่อให้เพื่อนๆ
ได้อ่านเรื่องเล่าของทุกคนเป็นการสร้างแรงบันดาลใจอีกทางหนึ่ง ผมเริ่มมีความหวังมากขึ้น มีความสุขที่ได้ทำ
และยิ่งมีความเชื่อ ศรัทธาว่าภายในสามปีโรงเรียนของเราจะพัฒนาให้มีคุณภาพเป็น
“โรงเรียนดีที่สร้างสุขภาวะ” ถ้าเราทุกคนในองค์กรมองเป้าหมายเดียวกัน ร่วมกันช่วยกันพัฒนาผู้เรียน
พัฒนาครู พัฒนาโรงเรียนเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ให้มีคุณภาพตามสังคมต้องการ...
“เชื่อ
ศรัทธา ลงมือทำ เปลี่ยนวิธีคิด ชีวิตก็เปลี่ยน”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น