บทนำ : สังคมไทยกับการวิจัยทางการศึกษา
สังคมไทยมีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็วในทุก ๆ ด้านในช่วงห้าทศวรรษที่ผ่านมา อย่างไร ก็ตามหากพิจารณาในเชิงความยั่งยืนเรายังขาดภาวะสมดุล ยังมีปัญหาสำคัญที่จะต้องดูแล แก้ไข บางเรื่องก็อยู่ในขั้นวิกฤต อันมีเหตุทั้งที่เกิดจากสภาพภายในสังคมเราเอง และจากการคล้อยตามกระแสการภิวัตน์ของโลก ทั้งนี้ประเด็นปัญหาใหญ่ ๆ ที่ควรมีการทบทวนเพื่อให้เกิดความตระหนักรู้ร่วมกัน เช่น ผลจากวิกฤตเศรษฐกิจ ทำให้อัตราการว่างงานสูงขึ้น มีปัญหาทางสังคม อื่น ๆ ตามมา ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีความเสื่อมโทรมอย่างรุนแรง นำไปสู่ความขัดแย้งในสังคมมากยิ่งขึ้น การศึกษาขาดเอกภาพด้านนโยบาย สังคมตกอยู่ในกระแสบริโภคนิยม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย ศิลปะไทยที่ทรงคุณค่าถูกละเลย เป็นต้น
การพัฒนาสังคมไทยโดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างมุ่งไปที่อัตราการเติบโตแต่เพียงอย่างเดียว บนฐานโครงสร้างทางสังคมที่อ่อนแอ ไม่เป็นธรรม และต้องพึ่งพาต่างประเทศเป็นหลัก ได้แสดงผลให้ประจักษ์ชัดเจนแล้วว่าเป็นทิศทางที่ผิดพลาด จำเป็นต้องมี การกำหนดวิสัยทัศน์การพัฒนา ยุทธศาสตร์ และแนวนโยบายกันใหม่ ภายใต้กรอบทิศทางที่ให้ความสำคัญอย่างทัดเทียมกัน โดยยึดมั่นในวัฒนธรรม วิถีชีวิตแบบไทยที่มีศาสนธรรมเป็นหลักประจำใจให้คงเอกลักษณ์มั่นคงไว้ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงในระบบเศรษฐกิจยุคใหม่ของ สังคมโลก
สังคมทุกวันนี้และในอนาคตเป็นสังคมฐานความรู้ ที่เน้นการเรียนรู้ ความรู้ และนวัตกรรมเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาในระยะเวลา 4 – 5 ปี ที่ผ่านมารัฐบาลได้เล็งเห็นความสำคัญในการใช้การวิจัยมาเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาขององค์กรภาครัฐหรือของประเทศ แนวโน้มการสนับสนุนการวิจัยจึงพุ่งไปในด้านที่ตอบสนองต่อนโยบายและยุทธศาสตร์ของรัฐบาล รวมทั้งการวิจัยเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมและวงการธุรกิจภาคเอกชนในลักษณะของการวิจัยและพัฒนา ( Research and Development – R @ D) ซึ่งเป็นที่ยอมรับว่าจะสร้างความเจริญเติบโตและสร้างความสามารถในการแข่งขัน ดังนั้น เป้าหมายการวิจัยของประเทศ จึงควรมีลักษณะที่สมดุลระหว่างการวิจัย 3 รูปแบบ คือ 1. การวิจัยเพื่อสร้างองค์ความรู้พื้นฐานหรือประยุกต์ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านวิชาการ รูปแบบนี้ยังผสมผสานไปกับการผลิตบัณฑิตที่มีความรู้ความสามารถในการคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุมีผลโดยเฉพาะปริญญาโทและเอก 2. การวิจัยเพื่อแก้ปัญหาหรือหาหนทางพัฒนาตามยุทธศาสตร์ของรัฐบาลหรือหน่วยงานภาครัฐ เป็นการสร้าง “ความเป็นอยู่ที่ดีของสังคม / ชุมชน” และสร้าง “องค์กรที่ดีของภาครัฐ / รัฐวิสาหกิจ” 3. การวิจัยเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมและธุรกิจในภาคเอกชน ซึ่งรัฐยังจำเป็นต้องให้การสนับสนุนเพราะถือว่าเป็นการทำงานร่วมกันเพื่อสร้างรายได้ให้แก่ประเทศ
งบประมาณเพื่อการศึกษาวิจัยของประเทศไทยในอดีตและปัจจุบันยังถือว่าน้อยมาก เมื่อเปรียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าจะเป็นการเติบโตที่ยั่งยืน เพราะสร้างทั้ง “ ความรู้ คน สังคม และประเทศชาติ” ในการแสวงหาความรู้ นวัตกรรม เพื่อการพัฒนาโดยกระบวนการและวิธีการทางวิจัย
กรอบแนวความคิดเกี่ยวกับการวิจัยทางการศึกษา
การวิจัยเป็นกระบวนการในการแสวงหาความรู้ของมนุษย์อย่างเป็นระบบ ความรู้ที่มนุษย์แสวงหาอาจจำแนกได้เป็นดังนี้
1. ความรู้ในฐานะที่เป็นวิธีการ ( Means )
2. ความรู้ในฐานะเป็นเป้าหมาย ( end )
ความรู้ในฐานะเป็นวิธีการ หมายถึง องค์ความรู้ที่เป็นหลักการหรือทฤษฎีที่สามารถนำไปสู่การเข้าใจในปรากฏการณ์ต่าง ๆ ตามที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง
ความรู้ในฐานะเป็นวิธีการนี้เป็นวิธีการที่แสวงหากันมากที่สุด และมีการถกเถียงกันมากที่สุด วิธีการที่มีการศึกษาและได้รับการยอมรับในยุคหนึ่งอาจจะเปลี่ยนเมื่อเวลาผ่านพ้นไป ความรู้ในฐานะเป็นวิธีการนี้ในหลายกรณีเมื่อมีการนำความรู้นำเสนออาจนำไปสู่การขัดแย้งอย่างรุนแรง และมีผลกระทบต่อสังคมอย่างแพร่หลายก็ได้ เช่น กรณีการเสนอตั้งบ่อนกาสิโนอย่างถูกต้องตามกฏหมายเพื่อป้องกันมิให้คนไทยไปเล่นการพนันนอกประเทศ
ความรู้ที่เป็นวิธีการนี้อาจจะได้มาจากการศึกษา การทดลอง การประชุมสัมมนา การอภิปราย การวิเคราะห์ข้อมูล การประเมินผลกระทบ ฯลฯ เมื่อผ่านการทดลองจนเป็นที่น่าพอใจแล้วจึงนำเสนอออกมาเป็นทฤษฎี หรือเป็นหลักการ ซึ่งเสนอเผยแพร่สู่สาธารณะชนให้รับรู้ และหากมีการนำไปทดลองใช้ในที่อื่น ๆ ก็กลายเป็นองค์ความรู้ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็น “หลักวิชาการ” หรือเป็น “ทฤษฎี”
ความรู้ในฐานะเป็นเป้าหมาย หมายถึง องค์ความรู้ที่เป็นข้อเท็จจริง ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นกฎเกณฑ์ที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ต่าง ๆ ทั้งที่เป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติและเป็นปรากฏการณ์ทางสังคม
ความรู้ในฐานะเป็นเป้าหมายอาจจะเกิดจากการใช้กระบวนการแสวงหาข้อเท็จจริงที่ได้รับการยอมรับว่า “วิธีการ” ที่ถูกต้อง ซึ่งสามารถนำไปสู่ความจริงที่ต้องการได้ เช่น ความจริงที่ว่า โลกนี้กลม โลกเป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่งซึ่งหมุนรอบดวงอาทิตย์ รวมทั้งกฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ เกี่ยวกับสสาร และพลังงาน เป็นต้น
กรอบแนวคิดในการแสวงหาความรู้ดังกล่าว จะมีแหล่งกำเนิดมาจากอารยธรรม 2 สายสำคัญคือ
1. อารยธรรมตะวันออก
2. อารยธรรมตะวันตก
อารยธรรมตะวันออก มีแหล่งกำเนิดจากศาสนาพุทธ ศาสนาฮินดู ศาสนาขงจื้อ ลัทธิเต๋า ศาสนาชินโต และความเชื่อในเรื่องภูมิปัญญาท้องถิ่น เป็นต้น อารยธรรมตะวันออกจะเน้นการแสวงหาความรู้แบบครบวงจร ( Holistic Approach ) หรือแบบบูรณาการ ไม่นิยมแสวงหาความรู้แบบแยกส่วน ( Segmental Approach ) หรือแบบทางเดียว ( Monoistic Approach )
ความรู้ใด ๆ ก็ตามที่ได้รับจากแนวคิดของอารยธรรมตะวันออกนี้จะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของการนำไปใช้ประโยชน์และการสร้างคุณค่าแก่ชีวิต พร้อมกับพัฒนาและยกระดับจิตใจของมนุษย์ให้สูงขึ้น ให้มนุษย์สามารถอยู่ร่วมกับธรรมชาติสิ่งแวดล้อมให้คงอยู่อย่างยั่งยืนและมั่นคง กระบวนการในการแสวงหาความรู้จากทัศนะของโลกตะวันออกจึงไม่มีการแยกส่วนศึกษาองค์ความรู้ที่ได้รับจะต้องปราศจากการเบียดเบียนชีวิตและธรรมชาติสิ่งแวดล้อม จะต้องไม่เป็นกลางทางจริยธรรม และจะต้องไม่เป็นกลางทางค่านิยม กล่าวคือต้องมีคุณธรรม จริยธรรม มีค่านิยมที่ดีคอยกำกับดูแลอยู่ตลอดเวลา
อารยธรรมตะวันตก เป็นอารยธรรมที่มีแหล่งกำเนิดจากกรีก ศาสนาคริสต์ ศาสนายิว และการปฏิวัติทางปัญญา หรือยุค “Enlightenment” อันเป็นยุคที่ชาวตะวันตกเป็นอิสระจากการครอบงำทางความคิดและความเชื่อโดยศาสนาคริสต์ กล่าวโดยเฉพาะอย่างยิ่งยุค Enlightenment นี้เป็นยุคที่มนุษย์มีอิสระเสรีภาพอย่างเต็มที่ในการเสาะแสวงหาความรู้และความสามารถเสนอความรู้ของตนเองมาสู่สาธารณชนได้อย่างปราศจากความกลัว ประจวบกับข้อเท็จจริงที่ว่าชาวตะวันตกมีวิถีชีวิตเต็มไปด้วยการบีบคั้นจากธรรมชาติ จึงเป็นเหตุให้ชาวตะวันตกต้องดิ้นรนต่อสู้กับภัยธรรมชาติเพื่อความอยู่รอดและต้องคิดหาวิธีการต่าง ๆ เพื่อพิชิตธรรมชาติ ข้อนี้คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้โลกตะวันตกต้องใช้วิธีการหลายรูปแบบในการค้นหาความจริงและใช้เป็นแนวทางในการเข้าถึงเป้าหมายแห่งชีวิต ในที่สุดก็สรุปลงด้วยการเน้นวิธีการศึกษาแบบแยกส่วน ซึ่งเรียกว่าเป็นวิธีการแบบวิทยาศาสตร์บ้าง วิธีการแบบเจาะลึกบ้าง วิธีการศึกษาแบบจำกัดเฉพาะเรื่อง เป็นต้น
เนื่องจากอารยธรรมตะวันตก เป็นอารยธรรมที่ส่งเสริมให้มีการกระทำตามอำนาจ “กิเลส” ของคนมากที่สุด โดยเฉพาะกิเลสขั้นพื้นฐาน คือ ความโลภ ความต้องการ ความโกรธ และความลุ่มหลงมัวเมา จึงเป็นอารยธรรมที่ได้รับการตอบรับจากผู้คนในโลกนี้อย่างรวดเร็ว แนวคิดหลายอย่างที่มีรากฐานจากอารยธรรมตะวันตก จึงแพร่หลายไปอย่างรวดเร็ว จนเกิดปรากฏการณ์ทางสังคมที่เรียกว่า “ Cultural Domimance” (ความมีอิทธิพลหรือการครอบงำทางวัฒนธรรม) ซึ่งปรากฏการณ์นี้ไม่เว้นแม้กระทั่งในแวดวงกระบวนการศึกษาทางวิชาการในยุคปัจจุบัน
ผลิตผลจากอารยธรรมตะวันตกที่มีอิทธิพลครอบงำเหนือชีวิตผู้คนทั่วโลกจนกระทั่งกลายเป็นกระบวนการโลกาภิวัตน์ที่สำคัญ ( Globalization ) คือ ลัทธิทุนนิยม ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ลัทธิมนุษยชนการแต่งงานรูปแบบใหม่โดยการทดลองอยู่กันก่อน การสื่อสารไร้พรมแดนความเป็นใหญ่ของสื่อสารมวลชนทุกประเภท และการแข่งขันทางการศึกษา เป็นต้น กระบวนการเหล่านี้นับวันจะมีพลังมากยิ่งขึ้น และแผ่อำนาจไปถึงกลุ่มชนทุกซอกทุกมุมของโลก ขณะเดียวกันก็กำลังบั่นทอนอิทธิพลของอารยธรรมแบบตะวันออกให้น้อยลงทุกขณะ ดังตัวอย่างการกลืนองค์ความรู้ที่เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านในมิติต่าง ๆในสังคมไทยเกือบหมดสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์ความรู้ที่มีการจัดตั้งโดยกลุ่มบุคคลที่มีอิทธิพล ซึ่งได้รับแนวคิดและรูปแบบการศึกษาจากอารยธรรมตะวันตก เช่น การแพทย์แผนไทยสมัยใหม่ที่มองข้ามแพทย์แผนโบราณของไทยมาโดยตลอด วัฒนธรรมการชอบรับประทานอาหารแบบตะวันตก เป็นต้น
สภาพและแนวโน้มของประเด็นปัญหาในสภาวะปัจจุบัน
เป็นที่ยอมรับว่าสภาวะปัจจุบัน เป็นสภาวะที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัฒนธรรมที่เป็นเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็วมาก จนวัฒนธรรมที่เป็นระบบสังคม ค่านิยม ประเพณี พิธีกรรมและบรรทัดฐานทางสังคมปรับแปรเปลี่ยนก้าวไม่ทันทำให้เกิดสภาวะที่นักสังคมวิทยาเรียกกันว่าความล้าหลังทางวัฒนธรรม ( Culturl Lag )
จากปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยนับแต่ช่วงปี พ.ศ. 2540 เป็นต้นมา มีผลทำให้ทุกฝ่ายได้เล็งเห็นความสำคัญขององค์ความรู้ที่เกิดจากฐานการค้นคว้าวิจัยที่จะสร้างความเข้มแข็งให้กับบุคลากรของชาติ ทุกฝ่ายจึงมุ่งวิเคราะห์หายุทธวิธีที่จะให้ประเทศไทยได้มีการศึกษาวิจัยที่เป็นลักษณะองค์รวมเพื่อให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการวางแผนแก้ไขหรือพัฒนาในจุดด้อยหรือจุดเด่นของส่วนต่าง ๆ ในระบบของประเทศได้ ข้อสรุปที่เกิดขึ้นคือ งานวิจัยแบบอิสระแยกส่วน จะเป็นงานที่มีผลกระทบน้อย ใช้ประโยชน์ได้น้อย ฉะนั้นจึงมียุทธศาสตร์ส่งเสริมงานวิจัยในลักษณะที่มีการประสานความร่วมมือเป็นงานวิจัยเชิงบูรณาการเป็นหลัก ขณะเดียวกันงานวิจัยเดี่ยวก็นับเป็นงานที่สนองภารกิจของสถาบันการศึกษาได้แก่ งานวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาในระดับมหาบัณฑิตและดุษฎีบัณฑิต งานวิจัยเชิงบูรณาการอาจเป็นสิ่งที่ดำเนินการได้ไม่ง่ายนัก ดังนั้น แม้ว่าความต้องการงานวิจัยในเชิงบูรณาการจะมีความสำคัญเป็นลำดับต้น แต่งานวิจัยอิสระหรืองานวิจัยเดี่ยวก็ยังนับว่ามีความสำคัญอยู่ ฉะนั้นในเบื้องต้นนี้ การเสนอแนะสภาพและแนวโน้มของประเด็นปัญหางานวิจัยจึงเป็นการเสนอประเด็นไว้ก่อน ส่วนการนำไปศึกษาวิจัยจะในรูปแบบใดจึงเป็นความเหมาะสมที่จะพิจารณาต่อไป
อย่างไรก็ตามการที่จะพิจารณาว่าสภาพและแนวโน้มของประเด็นปัญหาอะไรบ้างควรกำหนดเป็นประเด็นปัญหาสำหรับการวิจัยในยุคที่สังคมแปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็วเช่นนี้ จะต้องพิจารณาถึง “ความต้องการ” ของสังคมก่อนเป็นอันดับแรก คำถามมีอยู่ว่า ขณะนี้สังคมกำลังจะต้องการอะไร และสังคมที่พูดถึง คือสังคมแบบใด ดังนั้นการพิจารณาความต้องการของสังคมจะต้องรู้จักแยกแยะลักษณะความแตกต่างของสังคมและเข้าใจความต้องการที่แตกต่างของแต่ละสังคมด้วย เช่น ในสังคมไทยมีความแตกต่างอย่างชัดเจนแห่งวิถีชีวิตของสังคมเมือง และชนบทเราต้องเรียนรู้ว่า ความต้องการของสังคมเมืองคืออะไร ความต้องการสังคมชนบทคือเรื่องอะไรและจะต้องรู้จักแยกแยะต่อไปว่า
- ความต้องการของสังคมเป็นความต้องการที่แท้จริงหรือไม่
- หรือว่าเป็นความต้องการเกินกว่าความเป็นจริง
นักวิจัยจะต้องมีความรู้ในการแยกแยะปัญหาความต้องการแท้กับความต้องการเทียมและต้องกล้าแสดงความคิดเห็นว่าอะไรคือสิ่งที่สังคมควรต้องการให้เกิดขึ้นและอะไรคือสิ่งที่สังคมไม่ควรแสวงหา นอกจากนี้ประเด็นปัญหาของการวิจัยอาจจะเป็นตาม
- ความต้องการของผู้วิจัย
- ความต้องการของผู้ให้ทุนสนับสนุนการวิจัย
- ความต้องการที่จะชี้นำสังคมไปในทิศทางที่พึงประสงค์และดีงาม
ซึ่งในประเด็นปัญหาของการวิจัยในที่นี้ผู้เขียนได้นำเสนอในภาพรวมของประเทศไทย โดยจะยกตัวอย่างจากสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ได้กำหนดประเด็นของงานวิจัยที่จะนำเสนอในการประชุมวิชาการ การวิจัยทางการศึกษาครั้งที่ 11 ในวันที่ 26 – 27 สิงหาคม 2548 โรงแรม แอมบาสซาเดอร์ โดยกำหนดตามนโยบายและยุทธศาสตร์การบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล โดยเน้นยุทธศาสตร์หลักด้านการพัฒนาคนและสังคมที่มีคุณภาพ ซึ่งเป็นภารกิจหลักของหน่วยงานทางการศึกษาและยุทธศาสตร์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา 2 ประเด็นใหญ่ ๆ คือ
1. การวิจัยเพื่อพัฒนาการศึกษาของประเทศ มีประเด็นปัญหาการวิจัย ได้แก่
1 .1 การขยายบริการการศึกษาในและนอกระบบ เช่น
- การสร้างโอกาสและความเสมอภาคในการเข้าถึงบริการการศึกษาทุกระดับ
- การจัดการศึกษาสำหรับผู้พิการผู้ด้อยโอกาส และผู้ที่มีความสามารถพิเศษ
- การจัดการศึกษาของเอกชน
- การจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
- การกระจายอำนาจทางการศึกษา
- การมีส่วนร่วมจัดการศึกษาขององค์กรต่างๆ
- การพัฒนาระบบเทียบโอน
- การสร้างแรงจูงใจในการเรียนอาชีวศึกษา
- ICT กับการพัฒนาการศึกษา
- การส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต
- การสร้างและจัดสภาพแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
1.2 การปฏิรูปการเรียนรู้ เช่น
- การพัฒนาหลักสูตร กระบวนการเรียนรู้ การวัดและประเมินผู้เรียน
- การพัฒนาการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับพัฒนาการของสมอง
- การพัฒนาการเรียนรู้เพื่อพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม
- การพัฒนาสื่อและเทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้
- การผลิตและพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา
- การสร้างสภาพแวดล้อมของครอบครัวเพื่อพัฒนา การเรียนรู้ของเด็ก
- การส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน
- การพัฒนาระบบแนะแนว ให้การปรึกษาในระดับครอบครัว สถานศึกษา และชุมชน
1.3 การพัฒนาคุณภาพมาตรฐาน เช่น
- การส่งเสริมและพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาให้มีมาตรฐานระดับโลก
- การส่งเสริมความร่วมมือทางการศึกษากับต่างประเทศในทุกระดับ
- การเป็นศูนย์กลางการศึกษาในเอเซียแปซิฟิค
- การยกระดับคุณภาพมาตรฐานการศึกษาทุกระดับ
1.4 การพัฒนาความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ผู้ประกอบการ สถาบันการศึกษา เช่น
- การวางแผนผลิตและพัฒนากำลังคน
- การพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน
- การยกระดับการศึกษาแรงงาน
- การพัฒนาระบบคุณวุฒิวิชาชีพ
- การส่งเสริมให้มีการขึ้นทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา
2. การวิจัยทางการศึกษาเพื่อการพัฒนาประเทศ มีประเด็นปัญหาการวิจัย ได้แก่
2.1 การศึกษากับการขจัดความยากจน เช่น
- กระบวนการเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างความเข็มแข็งของชุมชน
- การพัฒนาหลักสูตรและกระบวนการเรียนรู้ตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
2.2 การศึกษากับการส่งเสริมและพัฒนาพฤติกรรมด้านสุขภาพอนามัย
2.3 การศึกษากับการพัฒนาเศรษฐกิจให้สมดุลและแข่งขันได้ เช่น
- การพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีโดยใช้องค์ความรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่น
- การพัฒนาการเรียนรู้ตามแนวพระราชดำริด้านเทคโนโลยีการเกษตร
- บทบาทของสถาบันการศึกษากับการส่งเสริมอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม
2.4 การศึกษากับการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
2.5 การศึกษากับการส่งเสริมประชาธิปไตยและกระบวนการประชาสังคม
2.6 การศึกษากับการพัฒนากฎหมาย
2.7 การศึกษากับการรักษาความมั่นคงของรัฐ
2.8 การวิจัยเพื่อพัฒนาศาสตร์เฉพาะทางด้านการศึกษา
นอกจากนี้ถ้ายึดสภาพและแนวโน้มของประเด็นปัญหาการวิจัยโดยยึดสาระตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 จะแยกเป็น 12 ประเด็นหลัก คือ 1) ความมุ่งหมายและนโยบายการศึกษา 2) สิทธิและหน้าที่ทางการศึกษา 3) ระบบการศึกษา 4) แนวทางการจัดการศึกษา 5) หลักสูตร 6) การบริหารและการจัดการ 7) มาตรฐานและการประกันคุณภาพการศึกษา 8) ครูอาจารย์และบุคลากรทางการศึกษา 9) ทรัพยากรและการลงทุนเพื่อการศึกษา 10) เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา 11) ผู้เรียน และ 12) การปฏิรูปการศึกษา เป็นต้น
จะเห็นได้ว่าการทำการวิจัยตามความต้องการของสังคม ความถนัดหรือความสนใจของผู้วิจัย และตามวัตถุประสงค์ของผู้ให้ทุนการวิจัยจึงเป็นสิ่งที่นักวิจัยทั้งหลายควรพิจารณาเลือก รวมทั้งความจำเป็นเร่งด่วนในสังคมต่อไป
วิธีการวิจัยทางการศึกษาในยุคสังคมกำลังเปลี่ยนแปลง
การจำแนกประเภทของการวิจัยนั้นขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้ในการจำแนกในที่นี้จะขอเสนอแนวคิดของการจำแนกประเภทของการวิจัยโดยพิจารณาจากระเบียบวิธีวิจัย สามารถจำแนกออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
1. การวิจัยเชิงประวัติศาสตร์ ( Historical Research ) เป็นการวิจัยที่ใช้กระบวนการรวบรวมข้อมูลแบบสืบสวนวิเคราะห์ข้อมูลและตีความหมายจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้ว เพื่อแสวงหาข้อค้นพบที่มีนัยทั่วไปสำหรับทำความเข้าใจความเป็นมาในอดีตของเหตุการณ์หรือเรื่องราวต่าง ๆ
2. วิจัยเชิงบรรยาย ( Descriptive Research ) เป็นการวิจัยที่มุ่งบรรยายลักษณะเงื่อนไข สภาพที่เป็นจริงในปัจจุบัน ซึ่งมักสนใจเปรียบเทียบความเหมือนหรือความแตกต่างระหว่างสิ่งต่าง ๆ ที่สนใจ
3. การวิจัยเชิงทดลอง ( Experimental Research ) เป็นการวิจัยที่ศึกษาความสัมพันธ์เชิงเหตุผลระหว่างตัวแปรที่สนใจ ภายใต้สภาพการณ์ควบคุมหรือการจัดกระทำการทดลอง
หากพิจารณาตามอิทธิพลของอารยธรรมตะวันตก นักวิชาการสาขาต่าง ๆ มักนิยมรูปแบบการวิจัยที่เรียกว่า “ แบบวิทยาศาสตร์” ซึ่งเป็นการวิจัยทีตัดทอนวิธีการอย่างอื่นในการเข้าถึงความจริง และเป็นรูปแบบผูกขาดในการวิจัยจนถึงยุคปัจจุบัน นักวิจัยที่ตกหล่มของวิทยาศาสตร์มักจะพูดว่าในการวิจัย ผู้วิจัยต้องทำตนให้ Value Free คือ ไม่ต้องยึดติดกับค่านิยมใด ๆ และต้องเป็นแบบ Ethical Neutrality คือมีความเป็นกลางทางจริยธรรมไม่ต้องพิจารณาถึงคุณค่าทางศีลธรรมไม่ต้องรับรู้ว่ามันจะผิดศีลธรรมหรือไม่ เช่น การวิจัยของบริษัทที่ขายถุงยางอนามัยยี่ห้อหนึ่ง ว่าในประเทศต่าง ๆ ผู้หญิง – ผู้ชายมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกเฉลี่ยตั้งแต่อายุเท่าไหร่ ทำให้มีถกเถียงกันของนักวิชาการว่าสมควรหรือไม่สมควร นักวิจัยกลุ่มนี้จะบูชาความจริงที่ค้นพบ แม้ว่าความจริงที่ค้นพบจะมีโทษอย่างมหาศาลต่อมนุษยชาติก็ตาม
นักวิจัยทางสังคมศาสตร์จะต้องขบคิดเรื่องวิธีการในการวิจัยเสียใหม่ ควรทำตนให้หลุดพ้นจากกรอบแห่งอิทธิพลของนักวิจัยในอดีตต้องกล้าที่จะเสนอทางเลือกใหม่ ๆ ในการศึกษาความจริง และเสนอวิธีการใหม่ ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการพัฒนาสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม กระบวนการศึกษาทางสังคมศาสตร์จะต้องก้าวพ้นจากหล่มหรือมายาแห่งวิทยาศาสตร์ ที่นักวิชาการรุ่นก่อนได้เสนอเอาไว้ วิธีการบางอย่างได้เสนอมาแล้วนับเป็นร้อย ๆ ปี นักสังคมศาสตร์รุ่นหลังจำนวนไม่น้อยก็ยังนิยมบูชาวิธีการเหล่านี้ และมักไม่เปิดใจยอมรับวิธีการอย่างอื่น โดยมักจะวิจารณ์ว่าอะไรก็ตามที่พิสูจน์ไม่ได้ตามหลักเกณฑ์วิทยาศาสตร์ตามที่เคยปฏิบัติมา สิ่งนั้นใช้ไม่ได้
หากพิจารณาตามหลักวิธีการศึกษาตามอารยธรรมตะวันออก สิ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์ถือเป็นมายาอย่างหนึ่งไม่ใช่เป็นสิ่งที่เที่ยงแท้ มีความเป็นอนัตตาในตัวของมันเอง ดังนั้นในการวิจัยตามแบบตะวันออกบางครั้งก็เป็นวิธีการวิจัยแบบ Subjective Method ซึ่งเป็นเรื่องการศึกษาเป็นแบบเฉพาะตัวบุคคล วิธีการที่เป็น Objective Method อย่างที่นักวิชาการยุคปัจจุบันนิยมใช้อาจเป็นวิธีการแบบตาบอดคลำช้างก็ได้ คนตาบอดหลาย ๆ คนคลำเจอส่วนใดของช้างก็บอกว่าส่วนนั้นแหละคือช้าง ในที่สุดก็ปิดกั้นวิธีการอย่างอื่นที่ไม่สอดคล้องกับทฤษฎีของตน และไม่ยอมรับวิธีการอย่างอื่นในการศึกษาหาความจริงและอาจไม่รู้จักช้างอย่างแท้จริง
โลกปัจจุบันมีปัญหาอย่างมากมาย ปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากมนุษย์ทั้งสิ้น จึงควรพิจารณากันใหม่ได้แล้วว่า ทำอย่างไรจึงจะเข้าใจมนุษย์ร่วมโลกให้มากขึ้น ทำอย่างไรจึงจะประยุกต์ใช้วิธีการใหม่ ๆ ในการศึกษาเพื่อนมนุษย์ให้เข้าใจเพื่อนมนุษย์ และกำจัดกิเลสขั้นพื้นฐานของมนุษย์อันเป็นต้นเหตุให้เกิดความขัดแย้ง การทำลายล้างกันบนโลกนี้ให้หมดสิ้นไป ทำอย่างไรจะหยุดยั้งกระแสโลกาภิวัตน์ที่ดูเหมือนจะหมุนไปในทิศทางแห่งความหายนะในโลกมากขึ้นและเร็วทุกขณะ บางทีเราอาจจะต้องย้อนกลับไปดูรากเหง้าแห่งภูมิปัญญาตะวันออกกันอย่างจริงจังและค้นหาภูมิความรู้ของโลกตะวันออก โดยเฉพาะภูมิปัญญาของศาสนาและวัฒนธรรมที่มีอยู่ในสังคมของเราอย่างจริงจังและอย่างจริงใจ และให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เมื่อถึงเวลานั้นภาพมายาแห่งวิธีการที่หาตัวตนไม่ได้ อาจจะค่อยๆ หายไป และเราอาจจะบรรลุถึงวิธีการที่ช่วยให้เรา “รู้ซึ้งแห่งสัจธรรม” ( Enlighten ) อย่างแท้จริงก็ได้
วิธีการศึกษาในขั้นต้น อาจจะต้องผสมผสานกันระหว่างวิธีการแบบตะวันตก และตะวันออก เพื่อให้เข้าใจสภาพความเป็นจริงของโลกตามมุมมองของแต่ละอารยธรรม จากนั้นควรนำสิ่งที่ดีที่สุดที่มีอยู่ในอารยธรรมนั้น ๆ มาใช้เป็นกรอบวิธีการศึกษา เช่น อาจจะใช้วิธีการวิทยาศาสตร์แบบตะวันตก วิธีการแบบพุทธศาสตร์ หรือวิธีการแบบขงจื้อ แบบเต๋า และแบบฮินดูก็ได้ วิธีการแบบวิทยาศาสตร์ตามอารยธรรมตะวันตกไม่ควรจะถูกปล่อยให้มีอิทธิพลครอบงำ วิธีการอย่างอื่น ปัจจุบันนี้นักวิชาการโลกส่วนใหญ่เป็นอาณานิคมทางปัญญาของตะวันตก ดังนั้นวิธีการศึกษาจึงมุ่งเพื่อตอบสนองกิเลสตัณหาของมนุษย์เป็นส่วนใหญ่ และมีแนวโน้มกระตุ้นให้เกิดกระแสแห่งความยาก ความโลภ ความโกรธ ความลุ่มหลง และความใคร่อย่างไม่มีขอบเขต ซึ่งได้ส่งผลเป็นความเดือดร้อนของมนุษยชาติอย่างไม่มีท่าทีจะสงบเย็นลงแต่อย่างไร
สรุป
การวิจัยทางการศึกษาไม่ว่าจะเป็นแบบรูปแบบใด หากรู้จริงสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทั้งนั้น ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าวิธีการแบบใดดีกว่ากัน แต่อยู่ที่ว่าวิธีการแต่ละแบบอาจนำมาใช้ศึกษาสภาพและแนวโน้มของประเด็นปัญหาในบริบทสังคมที่แตกต่างกันและตามจุดประสงค์ของการศึกษา ซึ่งอาจจะแตกต่างกันไปด้วย ดังนั้นผู้วิจัยจะใช้วิธีใดก็ได้ แต่ขอให้รู้วิธีการนั้น ๆ อย่างแท้จริง และสามารถนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ แสวงหาความรู้ ความจริง และสร้างคุณค่าแก่ชีวิตพร้อมกับพัฒนาและยกระดับจิตใจของมนุษย์ให้สูงขึ้น สามารถอยู่ร่วมกับธรรมชาติสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนและมั่นคง โดยนักวิจัยทางการศึกษาจะต้องกระทำตนให้หลุดพ้นจากการครอบงำจากอิทธิพลของนักวิจัยในอดีต ต้องกล้าที่จะเสนอทางเลือกใหม่ ๆ ในการศึกษาความจริง และเสนอวิธีการใหม่ ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการพัฒนาสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ตลอดจนเน้นยุทธศาสตร์ส่งเสริมงานวิจัยในลักษณะที่มีการประสานความร่วมมือเป็นงานวิจัยเชิงบูรณาการหรือแบบครบวงจร ( Holistic Approach ) เป็นหลัก
เอกสารอ้างอิง
คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ,สำนักงาน.แผนการศึกษาแห่งชาติ (พ.ศ. 2545 – 2559 ):ฉบับสรุป.
พิมพ์ครั้งที่ 2.กรุงเทพฯ : สกศ.,2545.
จำนง อดิวัฒนสิทธิ์ . คำอภิปรายเรื่อง “การวิจัยในบริบททางสังคมที่แปรเปลี่ยน” สำนักงานคณะ
กรรมการการวิจัยแห่งชาติ, 10 กุมภาพันธ์ 2546 โรงแรมพิมาน จังหวัดนครสวรรค์,2546.
เทียนชัย วงศ์สุวรรณ. คำอภิปรายเรื่อง “สังคมศาสตร์เพื่อการพัฒนาชาติ” การประชุมทางวิชาการ
ครั้งที่ 41 , สาขาสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อาคารศูนย์เรียนรวม 3 , วันที่ 4
กุมภาพันธ์ 2546,2546.
ประวิต เอราวรรณ์.วิจัยการศึกษาเบื้องต้น.มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2543.
พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิพงษ์ . คำอภิปรายเรื่อง “การวิจัยในบริบททางสังคมที่แปรเปลี่ยน” สำนักงานคณะ
กรรมการการวิจัยแห่งชาติ, 10 กุมภาพันธ์ 2546 โรงแรมพิมาน จังหวัดนครสวรรค์,2546.
พระธรรมปิฏก (ป.อ.ปยุตโต) . การพัฒนาที่ยั่งยืน .พิมพ์ครั้งที่ 3 . กรุงเทพฯ :มูลนิธิพุทธรรม.2541.
เพ็ญแข แนรอลและคณะ.โครงการสังเคราะห์งานวิจัยและศึกษาทิศทางการวิจัยในอนาคต.
กรุงเทพฯ : สกศ., 2547.
.
เลขาธิการสภาการศึกษา,สำนักงาน. การประชุมวิชาการ การวิจัยทางการศึกษา ครั้งที่ 11,
27 – 27 สิงหาคม 2548 โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ , กรุงเทพฯ : สกศ.,2548.
วันอาทิตย์
วันอังคาร
การพัฒนา AQ นักเรียนช่วงชั้นที่ 4 โรงเรียนกระแชงวิทยา
ชื่อเรื่อง การพัฒนาชุดฝึกความสามารถในการเผชิญและฝ่าฟันอุปสรรคของนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 โรงเรียนกระแชงวิทยา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาศรีสะเกษ เขต 4
ผู้วิจัย นายกัมพล เจริญรักษ์
ปีที่พิมพ์ พ.ศ. 2550
บทคัดย่อ
การพัฒนาความสามารถในการเผชิญและฝ่าฟันอุปสรรคของนักเรียนเป็นสิ่งจำเป็นที่ช่วยให้นักเรียนพัฒนาและปรับเปลี่ยนทัศนคติใหม่ไปสู่การมีกำลังใจและความหวังในการฝ่าฟันอุปสรรค เปลี่ยนแปลงวิธีคิดด้านลบหรือการมองข้ามตนเองและอยู่ร่วมในสังคมได้อย่างมีความสุข การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อพัฒนาชุดฝึกความสามารถในการเผชิญและฝ่าฟันอุปสรรคของนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 เพื่อหาดัชนีประสิทธิผลของชุดฝึกความสามารถในการเผชิญและฝ่าฟันอุปสรรค และเปรียบเทียบความสามารถในการเผชิญและฝ่าฟันอุปสรรคก่อนและหลังการใช้ชุดฝึกความสามารถในการเผชิญและฝ่าฟันอุปสรรค กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2550 โรงเรียนกระแชงวิทยา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาศรีสะเกษ เขต 4 ซึ่งเป็นนักเรียนที่มีความสามารถในการเผชิญและฝ่าฟันอุปสรรคต่ำ จำนวน 31 คน ในการวิจัยครั้งนี้ให้นักเรียนเข้าร่วมชุดฝึกเป็นเวลา 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 2 วัน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ชุดฝึกความสามารถในการเผชิญและฝ่าฟันอุปสรรค และแบบวัดความสามารถในการเผชิญและฝ่าฟันอุปสรรค สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบสมมติฐานใช้ Dependent t-test
ผลการวิจัยพบว่า ชุดฝึกความสามารถในการเผชิญและฝ่าฟันอุปสรรคของนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 81.90/83.91 และดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 0.609โดยนักเรียนมีความสามารถในการเผชิญและฝ่าฟันอุปสรรคหลังเข้าร่วมกิจกรรมเพิ่มขึ้นจากก่อนเข้าร่วมกิจกรรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยสรุป ชุดฝึกความสามารถในการเผชิญและฝ่าฟันอุปสรรคของนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 โรงเรียนกระแชงวิทยา ที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลเหมาะสม สามารถนำไปใช้ในการฝึกในสถานศึกษาได้เป็นอย่างดี
ผู้วิจัย นายกัมพล เจริญรักษ์
ปีที่พิมพ์ พ.ศ. 2550
บทคัดย่อ
การพัฒนาความสามารถในการเผชิญและฝ่าฟันอุปสรรคของนักเรียนเป็นสิ่งจำเป็นที่ช่วยให้นักเรียนพัฒนาและปรับเปลี่ยนทัศนคติใหม่ไปสู่การมีกำลังใจและความหวังในการฝ่าฟันอุปสรรค เปลี่ยนแปลงวิธีคิดด้านลบหรือการมองข้ามตนเองและอยู่ร่วมในสังคมได้อย่างมีความสุข การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อพัฒนาชุดฝึกความสามารถในการเผชิญและฝ่าฟันอุปสรรคของนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 เพื่อหาดัชนีประสิทธิผลของชุดฝึกความสามารถในการเผชิญและฝ่าฟันอุปสรรค และเปรียบเทียบความสามารถในการเผชิญและฝ่าฟันอุปสรรคก่อนและหลังการใช้ชุดฝึกความสามารถในการเผชิญและฝ่าฟันอุปสรรค กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2550 โรงเรียนกระแชงวิทยา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาศรีสะเกษ เขต 4 ซึ่งเป็นนักเรียนที่มีความสามารถในการเผชิญและฝ่าฟันอุปสรรคต่ำ จำนวน 31 คน ในการวิจัยครั้งนี้ให้นักเรียนเข้าร่วมชุดฝึกเป็นเวลา 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 2 วัน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ชุดฝึกความสามารถในการเผชิญและฝ่าฟันอุปสรรค และแบบวัดความสามารถในการเผชิญและฝ่าฟันอุปสรรค สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบสมมติฐานใช้ Dependent t-test
ผลการวิจัยพบว่า ชุดฝึกความสามารถในการเผชิญและฝ่าฟันอุปสรรคของนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 81.90/83.91 และดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 0.609โดยนักเรียนมีความสามารถในการเผชิญและฝ่าฟันอุปสรรคหลังเข้าร่วมกิจกรรมเพิ่มขึ้นจากก่อนเข้าร่วมกิจกรรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยสรุป ชุดฝึกความสามารถในการเผชิญและฝ่าฟันอุปสรรคของนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 โรงเรียนกระแชงวิทยา ที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลเหมาะสม สามารถนำไปใช้ในการฝึกในสถานศึกษาได้เป็นอย่างดี
วันพฤหัสบดี
ปราสาทโดนตวล

ที่ตั้ง
ตั้งอยู่บริเวณแนวชายแดนทิศตะวันออกเฉียงใต้ของบ้านภูมิซรอล ตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ หรือบริเวณรุ้งที่ 14 องศา 24 ลิปดา 30 ฟิลิปดาเหนือ แวงที่ 104 องศา 44 ลิปดา 48 ฟิลิปดาตะวันออก (ที่มา : กรมแผนที่ทหาร มาตราส่วน 1 : 50,000 พิมพ์ครั้งที่ 1 – RTSD ลำดับชุด L 7017 ระวาง 5937 IV) หรือพิกัด UTM ที่ 48 472617 E/1592766 N สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 488 เมตร
ตำนาน/นิทานเกี่ยวกับช่องเขาโดนตวล
ภูเขาโดนตวล (ใกล้เขาพระวิหาร) เป็นที่ตั้งของปราสาทบนลานหินริมหน้าผาชัน ถัดจากเขาโดนตวลไปทางทิศตะวันตกเป็นยอดเขาประสิทธิโสมหรือสัตตะโสม ด้านทิศใต้เป็นยอดเขาต้นไทร ด้านทิศตะวันออกเป็นยอดเขาดำผกา
มีนิทานเล่ากันมาว่า กาลครั้งนั้นมีสตรีสูงศักดิ์ผู้หนึ่งรูปร่างหน้าตาสวยงาม ผู้คนเรียกชื่อนางตามลักษณะเด่นในเรือนร่าง เป็นภาษาเขมรว่า นางเนียงเด๊อะทม (คือนางถันใหญ่) เล่ากันว่านางมาจากแผ่นดินสูงคือ อาณาจักรโคตรบูร ความสวยความเด่นของนางเลื่องลือไปถึงกษัตริย์ขอม พระองค์จึงโปรดให้ขุนนางข้าราชบริพารรับนางไปราชสำนัก ทั้งๆที่นางมิได้นิยมยินดี ระหว่างทางได้พักแรม ณ ลานหินอันเป็นที่ตั้งปราสาทโดนตวลบนลานก่อนลงสู่แผ่นดินเขมรต่ำ ช่องเขานี้ได้ชื่อว่า ดอนตวล ตาเล็งซึ่งหลงใหลใฝ่ฝันในตัวนาง สู้ติดตามไปก็ถูกฆ่าตายเสียที่ป่าแห่งหนึ่งในเส้นทางลงสู่แผ่นดินต่ำ ป่าแถบนั้นจึงได้ชื่อว่า ป่าตาเล็ง
ตั้งอยู่บริเวณแนวชายแดนทิศตะวันออกเฉียงใต้ของบ้านภูมิซรอล ตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ หรือบริเวณรุ้งที่ 14 องศา 24 ลิปดา 30 ฟิลิปดาเหนือ แวงที่ 104 องศา 44 ลิปดา 48 ฟิลิปดาตะวันออก (ที่มา : กรมแผนที่ทหาร มาตราส่วน 1 : 50,000 พิมพ์ครั้งที่ 1 – RTSD ลำดับชุด L 7017 ระวาง 5937 IV) หรือพิกัด UTM ที่ 48 472617 E/1592766 N สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 488 เมตร
ตำนาน/นิทานเกี่ยวกับช่องเขาโดนตวล
ภูเขาโดนตวล (ใกล้เขาพระวิหาร) เป็นที่ตั้งของปราสาทบนลานหินริมหน้าผาชัน ถัดจากเขาโดนตวลไปทางทิศตะวันตกเป็นยอดเขาประสิทธิโสมหรือสัตตะโสม ด้านทิศใต้เป็นยอดเขาต้นไทร ด้านทิศตะวันออกเป็นยอดเขาดำผกา
มีนิทานเล่ากันมาว่า กาลครั้งนั้นมีสตรีสูงศักดิ์ผู้หนึ่งรูปร่างหน้าตาสวยงาม ผู้คนเรียกชื่อนางตามลักษณะเด่นในเรือนร่าง เป็นภาษาเขมรว่า นางเนียงเด๊อะทม (คือนางถันใหญ่) เล่ากันว่านางมาจากแผ่นดินสูงคือ อาณาจักรโคตรบูร ความสวยความเด่นของนางเลื่องลือไปถึงกษัตริย์ขอม พระองค์จึงโปรดให้ขุนนางข้าราชบริพารรับนางไปราชสำนัก ทั้งๆที่นางมิได้นิยมยินดี ระหว่างทางได้พักแรม ณ ลานหินอันเป็นที่ตั้งปราสาทโดนตวลบนลานก่อนลงสู่แผ่นดินเขมรต่ำ ช่องเขานี้ได้ชื่อว่า ดอนตวล ตาเล็งซึ่งหลงใหลใฝ่ฝันในตัวนาง สู้ติดตามไปก็ถูกฆ่าตายเสียที่ป่าแห่งหนึ่งในเส้นทางลงสู่แผ่นดินต่ำ ป่าแถบนั้นจึงได้ชื่อว่า ป่าตาเล็ง
วันพุธ
ปราสาทพระวิหาร

ที่ตั้ง
ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่งในแนวเทือกเขาดงรัก บริเวณรุ้งที่ 14° 23' 20" เหนือ และแวงที่104° 43' ตะวันออก สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 657 เมตร บริเวณหน้าผาชันที่เรียกว่า เป้ยตาดี สูงจากพื้นที่ในเขตประเทศกัมพูชาประมาณ 547 เมตร
ก่อนที่ศาลโลกจะตัดสินให้ปราสาทพระวิหารอยู่ภายใต้อธิปไตยของประเทศกัมพูชา ปราสาทพระวิหารอยู่ในเขตท้องที่บ้านภูมิซรอล ตำบลบึงมะลู อำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีษะเกษ
ความสำคัญ
ปราสาทพระวิหารเป็นศาสนสถานแบบขอม สร้างขึ้นเพื่ออุทิศถวายแด่พระอิศวร โดยทราบได้จากศิลาจารึกที่ค้นพบที่ปราสาทแห่งนี้ ซึ่งขนานนามเทวาลัยแห่งนี้ว่า ศรีศิขรีศวร แปลได้ว่า เจ้าแห่งภูเขาคือพระอิศวร
กษัตริย์เขมรโปรดให้สถาปนาเทวาลัยแห่งเขาพระวิหารเพื่อให้เป็นที่สักการะและเป็นที่จาริกแสวงบุญของประชาชนในดินแดนเขมรสูง ซึ่งปัจจุบันเป็นจังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ และสุรินทร์ ตัวปราสาทหันหน้าไปทางทิศเหนือเพื่อต้อนรับประชาชนที่มาจากดินแดนดังกล่าว สระใหญ่คือสระตราวสร้างขึ้นบริเวณทางทิศเหนือ ไม่ห่างจากเชิงปราสาทมากนัก เพื่อให้ประชาชนหลายกลุ่มหลายเหล่าที่มาจากทางทิศเหนือสามารถใช้น้ำได้
อายุสมัย
ศาสนสถานแห่งนี้มีอายุเก่ากว่าปราสาทนครวัดในประเทศกัมพูชา ได้ค้นพบจารึกหลายหลักที่ทำให้สามารถกำหนดอายุได้ คือ
1. ศิลาจารึกภาษาสันสฤกต ศักราชตรงกับ พ.ศ.1436 รัชกาลพระเจ้ายโศวรมันที่ 1 แห่งอาณาจักรเขมร (พ.ศ.1432-1443)
2. จารึกภาษาสันสฤกตและภาษาขอมหลายแห่งบนประตูซุ้ม (โคปุระ) ที่3-4 อยู่ในรัชกาลพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 (พ.ศ.1545-1593) ศักราชเหล่านี้อยู่ในระยะเวลาเดียวกับลวดลายเครื่องตกแต่งที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน จึงอาจสันนิษฐานได้ว่าปราสาทพระวิหารที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันได้เริ่มสร้างในพุทธศตวรรษที่ 16
3. จารึกภาษาสันสฤกตและขอม ศักราชตรงกับ พ.ศ.1662 อยู่ในรัชกาลพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 (พ.ศ.1656-1688) ผู้สร้างปราสาทนครวัด แสดงให้เห็นว่ามีการก่อสร้างอาคารเพิ่มเติมและลวดลายบางชนิดในศิลปขอมแบบนครวัดได้ปรากฏที่ปราสาทพระวิหาร
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)